สำรวจพลังของ Real User Monitoring (RUM) ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ เรียนรู้วิธีที่ RUM ให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้เกี่ยวกับประสบการณ์ผู้ใช้ ระบุคอขวด และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และแอปพลิเคชันทั่วโลก
เปิดเผยการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ: การเจาะลึก Real User Monitoring (RUM)
ในภูมิทัศน์ดิจิทัลปัจจุบัน ความเร็วและประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ผู้ใช้คาดหวังประสบการณ์ที่ราบรื่น และแม้แต่ความล่าช้าเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่ความหงุดหงิดและการละทิ้งได้ นี่คือจุดที่ Real User Monitoring (RUM) เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจริงที่ผู้ใช้ของคุณทั่วโลกประสบ
Real User Monitoring (RUM) คืออะไร?
Real User Monitoring (RUM) หรือที่เรียกว่าการวัดผลผู้ใช้จริง เป็นเทคนิคการตรวจสอบแบบพาสซีฟที่รวบรวมและวิเคราะห์ประสบการณ์การใช้งานจริงของผู้เยี่ยมชมที่โต้ตอบกับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณ RUM แตกต่างจากการตรวจสอบสังเคราะห์ (synthetic monitoring) ซึ่งจำลองพฤติกรรมผู้ใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม โดย RUM จะรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้จริงในสภาวะแวดล้อมจริง ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันของคุณภายใต้สภาวะเครือข่าย อุปกรณ์ และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย
ลองนึกภาพว่าคุณมีกล้องส่องทางไกลดิจิทัลที่ส่องไปที่ผู้ใช้ของคุณ ทำให้คุณเห็นสิ่งที่พวกเขาเห็นและวิธีที่พวกเขาโต้ตอบกับแพลตฟอร์มของคุณได้อย่างแม่นยำ
RUM ทำงานอย่างไร?
โดยทั่วไป RUM จะทำงานโดยการแทรกโค้ด JavaScript ขนาดเล็กเข้าไปใน HTML ของหน้าเว็บของคุณ สคริปต์นี้จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมตริกประสิทธิภาพต่างๆ ขณะที่ผู้ใช้เรียกดูเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นข้อมูลที่รวบรวมจะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ RUM เพื่อการวิเคราะห์และรายงาน โดยทั่วไปการรวบรวมข้อมูลจะเป็นแบบอะซิงโครนัสและออกแบบมาให้มีผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้น้อยที่สุด
นี่คือขั้นตอนการทำงานแบบย่อ:
- ผู้ใช้เข้าถึงหน้าเว็บ: ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
- สคริปต์ JavaScript ทำงาน: สคริปต์ JavaScript ของ RUM ที่ฝังอยู่ในหน้าเว็บเริ่มทำงาน
- การรวบรวมข้อมูล: สคริปต์จะรวบรวมข้อมูลประสิทธิภาพ รวมถึงเวลาในการโหลดหน้าเว็บ เวลาในการโหลดทรัพยากร ข้อผิดพลาดของ JavaScript และอื่นๆ
- การส่งข้อมูล: ข้อมูลที่รวบรวมจะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ RUM
- การวิเคราะห์และการรายงาน: เซิร์ฟเวอร์ RUM จะประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล สร้างรายงานและแดชบอร์ดที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ผู้ใช้และคอขวดด้านประสิทธิภาพ
เมตริกสำคัญที่ RUM ติดตาม
RUM ให้ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่สามารถใช้เพื่อทำความเข้าใจและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ เมตริกที่สำคัญที่สุดบางส่วนที่ติดตาม ได้แก่:- Page Load Time: เวลารวมที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บจนสมบูรณ์
- First Contentful Paint (FCP): เวลาที่ใช้ในการแสดงเนื้อหาแรก (ข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ) บนหน้าจอ
- Largest Contentful Paint (LCP): เวลาที่ใช้ในการเรนเดอร์องค์ประกอบเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุด (รูปภาพ, วิดีโอ, ข้อความระดับบล็อก) บนหน้าจอ นี่คือหนึ่งใน Core Web Vitals
- Time to Interactive (TTI): เวลาที่หน้าเว็บจะสามารถโต้ตอบได้อย่างสมบูรณ์และตอบสนองต่อการป้อนข้อมูลของผู้ใช้
- JavaScript Errors: จำนวนและประเภทของข้อผิดพลาด JavaScript ที่เกิดขึ้นในหน้าเว็บ
- Resource Loading Times: เวลาที่ใช้ในการโหลดทรัพยากรแต่ละรายการ เช่น รูปภาพ, ไฟล์ CSS และไฟล์ JavaScript
- Network Latency: เวลาที่ใช้ในการเดินทางของข้อมูลระหว่างเบราว์เซอร์ของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ของคุณ
- Third-Party Performance: ผลกระทบด้านประสิทธิภาพจากสคริปต์ของบุคคลที่สาม (โฆษณา, เครื่องมือวิเคราะห์ ฯลฯ)
- User Agent and Device Information: ข้อมูลเกี่ยวกับเบราว์เซอร์ ระบบปฏิบัติการ และประเภทอุปกรณ์ของผู้ใช้
- Geographic Location: ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์โดยประมาณของผู้ใช้
ประโยชน์ของการใช้ RUM
RUM มีประโยชน์มากมายสำหรับธุรกิจทุกขนาด นี่คือข้อดีที่สำคัญบางประการ:- ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริง: RUM ให้ข้อมูลที่แม่นยำว่าแอปพลิเคชันของคุณทำงานอย่างไรในสภาวะแวดล้อมจริง ซึ่งเป็นการจับภาพประสบการณ์ผู้ใช้ที่แท้จริง
- การระบุคอขวดด้านประสิทธิภาพ: RUM ช่วยให้คุณระบุองค์ประกอบหรือกระบวนการเฉพาะที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถมุ่งเน้นความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างตรงจุด ตัวอย่างเช่น รูปภาพที่โหลดช้า Javascript ที่ไม่ได้ปรับให้เหมาะสม หรือการสืบค้นฐานข้อมูลที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- การตรวจจับปัญหาเชิงรุก: RUM สามารถแจ้งเตือนคุณเกี่ยวกับปัญหาด้านประสิทธิภาพก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมาก ช่วยให้คุณแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
- ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพตามข้อมูลจาก RUM คุณสามารถปรับปรุงความพึงพอใจของผู้ใช้ การมีส่วนร่วม และอัตราการแปลง (conversion rates) ได้
- การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: RUM ให้ข้อมูลเพื่อสนับสนุนความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพของคุณ ทำให้คุณสามารถตัดสินใจโดยมีข้อมูลประกอบจากหลักฐานในโลกแห่งความเป็นจริง
- การตรวจสอบประสิทธิภาพทั่วโลก: RUM ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ระบุพื้นที่ที่ผู้ใช้อาจประสบปัญหาเวลาในการโหลดที่ช้าลงเนื่องจากความหน่วงของเครือข่ายหรือตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ในออสเตรเลียอาจประสบกับเวลาในการโหลดที่ช้ากว่าผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาหากเซิร์ฟเวอร์ของคุณส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในอเมริกาเหนือ
- การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับมือถือ: RUM สามารถช่วยคุณระบุและแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพเฉพาะสำหรับอุปกรณ์มือถือ ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้มือถือของคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น ผู้ใช้มือถือมักมีการเชื่อมต่อที่ช้ากว่าผู้ใช้เดสก์ท็อป ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพและทรัพยากรอื่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- การวิเคราะห์สคริปต์ของบุคคลที่สาม: ระบุว่าสคริปต์ของบุคคลที่สามใดที่ทำให้ไซต์ของคุณช้าลง
RUM เทียบกับการตรวจสอบสังเคราะห์ (Synthetic Monitoring)
แม้ว่าทั้ง RUM และการตรวจสอบสังเคราะห์จะเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการตรวจสอบประสิทธิภาพ แต่ก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน นี่คือการเปรียบเทียบระหว่างสองแนวทางนี้:
คุณสมบัติ | Real User Monitoring (RUM) | Synthetic Monitoring |
---|---|---|
แหล่งข้อมูล | ผู้ใช้จริง | ผู้ใช้จำลอง |
สภาพแวดล้อม | สภาวะแวดล้อมจริง | สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม |
จุดมุ่งเน้น | ประสบการณ์ผู้ใช้จริง | ประสิทธิภาพพื้นฐาน |
กรณีการใช้งาน | ระบุคอขวดด้านประสิทธิภาพ, ตรวจสอบความพึงพอใจของผู้ใช้, เพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ผู้ใช้ | ตรวจสอบความพร้อมใช้งาน (uptime), สร้างเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพ, ทดสอบฟีเจอร์ใหม่ |
ค่าใช้จ่าย | อาจมีราคาแพงกว่า ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่รวบรวม | โดยทั่วไปมีราคาถูกกว่า |
ความละเอียดของข้อมูล | ละเอียดสูงมาก ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเซสชันของผู้ใช้แต่ละราย | ละเอียดน้อยกว่า ให้ข้อมูลประสิทธิภาพโดยรวม |
โดยสรุป การตรวจสอบสังเคราะห์มีประโยชน์สำหรับการตรวจจับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเชิงรุกและสร้างเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพ ในขณะที่ RUM ให้ข้อมูลเชิงลึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับประสบการณ์จริงของผู้ใช้จริง
การนำ RUM ไปใช้: แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
การนำ RUM ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีการวางแผนและการดำเนินการอย่างรอบคอบ นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ควรปฏิบัติตาม:
- เลือกเครื่องมือ RUM ที่เหมาะสม: เลือกเครื่องมือ RUM ที่ตอบสนองความต้องการและงบประมาณเฉพาะของคุณ พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของเมตริกที่ติดตาม ความสามารถในการรายงาน การผสานรวมกับเครื่องมืออื่นๆ และระดับการสนับสนุนที่ให้ เครื่องมือจำนวนมากมีรุ่นทดลองใช้ฟรีหรือระดับการใช้งานฟรี
- กำหนดค่าสคริปต์ RUM อย่างถูกต้อง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสคริปต์ RUM ได้รับการกำหนดค่าอย่างถูกต้องเพื่อรวบรวมข้อมูลที่คุณต้องการโดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ให้ความสนใจกับตำแหน่งของสคริปต์ในโค้ด HTML และประเภทของเหตุการณ์ที่ติดตาม
- วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: อย่าเพียงแค่รวบรวมข้อมูลแล้วลืมมันไป วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเพื่อระบุแนวโน้ม รูปแบบ และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สร้างแดชบอร์ดและรายงานที่ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้
- ตั้งเป้าหมายด้านประสิทธิภาพ: กำหนดเป้าหมายด้านประสิทธิภาพที่ชัดเจนสำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณ ใช้ข้อมูล RUM เพื่อติดตามความคืบหน้าสู่เป้าหมายเหล่านี้และระบุส่วนที่ต้องปรับปรุง ตัวอย่างเช่น ตั้งเป้าหมายให้ LCP ต่ำกว่า 2.5 วินาที
- ผสานรวมกับเครื่องมืออื่น: ผสานรวมเครื่องมือ RUM ของคุณกับเครื่องมือตรวจสอบและวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันของคุณ
- พิจารณา GDPR และความเป็นส่วนตัว: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น GDPR เมื่อรวบรวมและประมวลผลข้อมูลผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลเป็นนิรนามหากเป็นไปได้และขอความยินยอมจากผู้ใช้เมื่อจำเป็น
- เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับมือถือ: ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับประสิทธิภาพบนมือถือ เนื่องจากผู้ใช้มือถือมักมีความคาดหวังและข้อจำกัดที่แตกต่างจากผู้ใช้เดสก์ท็อป เพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ ลดขนาดไฟล์ JavaScript และใช้เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN) เพื่อส่งมอบเนื้อหาไปยังอุปกรณ์มือถืออย่างรวดเร็ว
RUM และการเพิ่มประสิทธิภาพระดับโลก
RUM มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่มีผู้ชมทั่วโลก ด้วยการตรวจสอบประสิทธิภาพในภูมิภาคต่างๆ คุณสามารถระบุพื้นที่ที่ผู้ใช้อาจประสบปัญหาเวลาในการโหลดที่ช้าลงเนื่องจากความหน่วงของเครือข่าย ตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ หรือปัญหาการจัดส่งเนื้อหา
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ในยุโรป คุณอาจต้องการพิจารณาใช้ CDN ที่มีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ในยุโรปเพื่อจัดส่งเนื้อหาไปยังผู้ใช้เหล่านั้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน หากคุณสังเกตเห็นว่าผู้ใช้ในบางประเทศประสบกับอัตราข้อผิดพลาด JavaScript ที่สูง คุณอาจต้องตรวจสอบว่ามีปัญหาความเข้ากันได้กับเบราว์เซอร์หรืออุปกรณ์เฉพาะที่ใช้ในภูมิภาคเหล่านั้นหรือไม่
ตัวอย่าง: บริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลกใช้ RUM และพบว่าผู้ใช้ในอเมริกาใต้ประสบกับเวลาในการโหลดหน้าที่ช้ากว่าผู้ใช้ในอเมริกาเหนือและยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการตรวจสอบ พวกเขาพิจารณาว่าสาเหตุหลักคือระยะทางไปยังเซิร์ฟเวอร์ของตนและการขาดการมีอยู่ของ CDN ในพื้นที่ พวกเขาจึงใช้ CDN ที่มีจุดแสดงตน (PoPs) ในอเมริกาใต้ ส่งผลให้เวลาในการโหลดหน้าเว็บดีขึ้นอย่างมากและอัตราการแปลงในภูมิภาคนั้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จากข้อมูล RUM
ข้อมูล RUM ให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้มากมายซึ่งสามารถใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน นี่คือตัวอย่างบางส่วน:- ระบุทรัพยากรที่โหลดช้า: RUM สามารถระบุรูปภาพ, ไฟล์ CSS หรือไฟล์ JavaScript ที่ใช้เวลาในการโหลดนาน ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือแทนที่ได้ พิจารณาการบีบอัดรูปภาพ การย่อขนาด CSS และ JavaScript และใช้เทคนิคการโหลดแบบ lazy loading
- เพิ่มประสิทธิภาพสคริปต์ของบุคคลที่สาม: RUM สามารถเปิดเผยว่าสคริปต์ของบุคคลที่สามใดที่ทำให้ไซต์ของคุณช้าลง ช่วยให้คุณสามารถลบหรือเพิ่มประสิทธิภาพได้ พิจารณาการเลื่อนการโหลดสคริปต์ของบุคคลที่สามที่ไม่จำเป็นออกไป หรือใช้เทคนิคการโหลดแบบอะซิงโครนัส
- ปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์: หากข้อมูล RUM บ่งชี้ว่าเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ของคุณช้า คุณอาจต้องตรวจสอบปัญหาฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เช่น การสืบค้นฐานข้อมูลหรือความไม่มีประสิทธิภาพของโค้ด พิจารณาการเพิ่มประสิทธิภาพการสืบค้นฐานข้อมูลของคุณ การแคชข้อมูลที่เข้าถึงบ่อย และการใช้โหลดบาลานเซอร์เพื่อกระจายปริมาณการใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายเครื่อง
- เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเบราว์เซอร์และอุปกรณ์ต่างๆ: RUM สามารถเปิดเผยปัญหาด้านประสิทธิภาพเฉพาะสำหรับเบราว์เซอร์หรืออุปกรณ์บางอย่าง ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพโค้Dและเนื้อหาสำหรับแพลตฟอร์มเหล่านั้นได้ พิจารณาใช้เทคนิคการออกแบบที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์ (responsive design) และทดสอบเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณบนเบราว์เซอร์และอุปกรณ์ที่หลากหลาย
- ระบุและแก้ไขข้อผิดพลาด JavaScript: RUM สามารถช่วยคุณระบุและแก้ไขข้อผิดพลาด JavaScript ที่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้ได้ พิจารณาใช้เครื่องมือติดตามข้อผิดพลาด JavaScript เพื่อจับและวิเคราะห์ข้อผิดพลาดแบบเรียลไทม์
อนาคตของ RUM
RUM มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของภูมิทัศน์ดิจิทัล แนวโน้มที่สำคัญบางประการใน RUM ได้แก่:
- การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI: การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อระบุปัญหาด้านประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติและให้คำแนะนำสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ
- Session Replay: ความสามารถในการบันทึกและเล่นเซสชันของผู้ใช้ซ้ำเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและระบุปัญหาด้านการใช้งาน
- การผสานรวมกับเครื่องมือ DevOps: การผสานรวมกับเครื่องมือ DevOps อย่างราบรื่นเพื่อทำให้การทดสอบและตรวจสอบประสิทธิภาพเป็นไปโดยอัตโนมัติตลอดวงจรการพัฒนา
- การมุ่งเน้นที่ Core Web Vitals: การให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับการติดตามและเพิ่มประสิทธิภาพ Core Web Vitals เช่น LCP, FID และ CLS เพื่อปรับปรุงอันดับในเครื่องมือค้นหาและประสบการณ์ผู้ใช้
- การตรวจจับความผิดปกติขั้นสูง: อัลกอริทึมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเพื่อตรวจจับความผิดปกติของประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์และแจ้งเตือนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
บทสรุป
Real User Monitoring (RUM) เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับทุกองค์กรที่ต้องการมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูง ด้วยการให้ข้อมูลเชิงลึกในโลกแห่งความเป็นจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้และคอขวดด้านประสิทธิภาพ RUM ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณเพื่อการมีส่วนร่วม การแปลง และความพึงพอใจสูงสุด ในโลกดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน การทำความเข้าใจและการดำเนินการตามข้อมูล RUM ไม่ได้เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จ
เปิดรับพลังของ RUM และปลดล็อกศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลของคุณ เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อประสบการณ์ที่รวดเร็วขึ้น เชื่อถือได้มากขึ้น และเข้าถึงได้ทั่วโลกสำหรับผู้ใช้ของคุณทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดในโลก