สำรวจศาสตร์แห่งการปรับองค์ประกอบร่างกายอย่างเจาะลึก พร้อมกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริงและปัจจัยสู่ความสำเร็จสำหรับทุกคน
ทำความเข้าใจศาสตร์แห่งการปรับองค์ประกอบร่างกาย (Body Recomposition): คู่มือฉบับสมบูรณ์
Body Recomposition หรือการปรับองค์ประกอบร่างกาย คือกระบวนการลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากแนวทางดั้งเดิมที่มุ่งเน้นไปที่ช่วงเวลาการลดน้ำหนักหรือการเพิ่มกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว (ช่วงทำน้ำหนักและช่วงลดไขมัน) การปรับองค์ประกอบร่างกายมีเป้าหมายทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน คู่มือนี้จะเจาะลึกถึงศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการปรับองค์ประกอบร่างกาย กลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริง และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จ เพื่อให้เป็นภาพรวมที่ครอบคลุมสำหรับทุกคนทั่วโลก
Body Recomposition คืออะไร?
กลยุทธ์การออกกำลังกายแบบดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับการสลับระหว่างช่วงที่บริโภคแคลอรีเกิน (Bulking เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ) และช่วงที่บริโภคแคลอรีต่ำกว่าที่ใช้ (Cutting เพื่อลดไขมัน) อย่างไรก็ตาม Body Recomposition เป็นแนวทางที่มีความละเอียดอ่อนกว่า มันเกี่ยวข้องกับการจัดการโภชนาการและการฝึกซ้อมอย่างรอบคอบเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันในเวลาเดียวกัน กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ:
- ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการฝึกด้วยแรงต้าน
- ผู้ที่กลับมาฝึกซ้อมอีกครั้งหลังจากหยุดพักไป
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
- นักกีฬาที่มีความเชี่ยวชาญสูงซึ่งมีเป้าหมายเฉพาะและใช้กลยุทธ์ขั้นสูง
แม้ว่าการทำ Body Recomposition ให้เห็นผลอย่างมีนัยสำคัญจะเป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจัดการความคาดหวัง โดยทั่วไปแล้วความคืบหน้าจะช้ากว่าเมื่อเทียบกับช่วงทำน้ำหนักหรือลดไขมันโดยเฉพาะ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นสามารถรักษาไว้ได้ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมมากกว่า
ศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง Body Recomposition
Body Recomposition อาศัยกระบวนการทางสรีรวิทยาที่สำคัญหลายประการ:
1. การจัดสรรแคลอรี (Calorie Partitioning)
การจัดสรรแคลอรี หมายถึงวิธีที่ร่างกายของคุณใช้แคลอรีที่คุณบริโภคเข้าไป เมื่อคุณรับประทานอาหาร แคลอรีจะถูกส่งไปยังกระบวนการต่างๆ เช่น การสร้างกล้ามเนื้อ การเก็บไขมัน การใช้พลังงาน และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรแคลอรีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับองค์ประกอบร่างกาย
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดสรรแคลอรี ได้แก่:
- การบริโภคโปรตีน: การบริโภคโปรตีนในปริมาณสูงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ โปรตีนยังมีผลกระทบเชิงความร้อนสูงกว่าคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ซึ่งหมายความว่าร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นในระหว่างการย่อย
- การฝึกด้วยแรงต้าน: การฝึกความแข็งแรง (Strength Training) ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อและเพิ่มความไวต่ออินซูลินในเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้สารอาหารถูกส่งไปสู่การเติบโตของกล้ามเนื้อมากกว่าการเก็บเป็นไขมัน
- ความไวต่ออินซูลิน: ความไวต่ออินซูลิน หมายถึงการตอบสนองของร่างกายต่ออินซูลินได้ดีเพียงใด การมีความไวต่ออินซูลินที่ดีขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณใช้คาร์โบไฮเดรตเพื่อเป็นพลังงานและเติมไกลโคเจนในกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะเก็บไว้เป็นไขมัน
- ช่วงเวลาในการบริโภคสารอาหารหลัก: การบริโภคคาร์โบไฮเดรตในช่วงเวลารอบๆ การออกกำลังกายสามารถช่วยเติมเต็มไกลโคเจนในกล้ามเนื้อและปรับปรุงประสิทธิภาพได้
2. การหมุนเวียนโปรตีน (Protein Turnover)
การหมุนเวียนโปรตีนเป็นกระบวนการต่อเนื่องของการสลายและสร้างโปรตีนใหม่ในร่างกาย การมีสมดุลโปรตีนเป็นบวก (การสังเคราะห์โปรตีนมากกว่าการสลายโปรตีน) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตของกล้ามเนื้อ การบริโภคโปรตีนอย่างเพียงพอร่วมกับการฝึกด้วยแรงต้านจะช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนและส่งเสริมสมดุลโปรตีนให้เป็นบวก
3. อิทธิพลของฮอร์โมน
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญต่อองค์ประกอบของร่างกาย ฮอร์โมนอย่างเทสโทสเตอโรนและโกรทฮอร์โมนช่วยส่งเสริมการเติบโตของกล้ามเนื้อและการลดไขมัน ในขณะที่ฮอร์โมนอย่างคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) อาจให้ผลตรงกันข้าม
กลยุทธ์ในการปรับระดับฮอร์โมนให้เหมาะสมสำหรับการทำ Body Recomposition ได้แก่:
- การนอนหลับที่เพียงพอ: การอดนอนสามารถเพิ่มระดับคอร์ติซอลและลดระดับเทสโทสเตอโรน ซึ่งขัดขวางการเติบโตของกล้ามเนื้อและส่งเสริมการเก็บไขมัน
- การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังสามารถเพิ่มระดับคอร์ติซอล นำไปสู่การสลายของกล้ามเนื้อและการเพิ่มขึ้นของไขมัน เทคนิคต่างๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ และการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติสามารถช่วยจัดการความเครียดได้
- โภชนาการที่เหมาะสม: อาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นจะช่วยสนับสนุนการผลิตและการทำงานของฮอร์โมนอย่างเหมาะสม
- การออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกาย โดยเฉพาะการฝึกด้วยแรงต้าน สามารถกระตุ้นการหลั่งของโกรทฮอร์โมนและเทสโทสเตอโรนได้
4. สมดุลพลังงาน (Energy Balance)
แม้ว่าจะไม่สำคัญเท่ากับการจัดสรรแคลอรี แต่โดยทั่วไปแล้วแนะนำให้รักษาสภาวะขาดดุลแคลอรีเล็กน้อยหรือกินเท่ากับค่าบำรุงรักษา (Maintenance) สำหรับการทำ Body Recomposition การขาดดุลแคลอรีมากเกินไปอาจขัดขวางการเติบโตของกล้ามเนื้อ ในขณะที่การเกินดุลแคลอรีมากเกินไปอาจนำไปสู่การเพิ่มของไขมันที่มากเกินควร
กลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริงสำหรับ Body Recomposition
การทำ Body Recomposition ให้สำเร็จต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายซึ่งประกอบด้วยโภชนาการ การฝึกซ้อม และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
1. โภชนาการ
ก. การบริโภคโปรตีน
ตั้งเป้าหมายการบริโภคโปรตีนในปริมาณสูง โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 1.6-2.2 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน แบ่งการบริโภคโปรตีนให้เท่าๆ กันตลอดทั้งวัน โดยบริโภคโปรตีนในทุกมื้อ แหล่งโปรตีน ได้แก่:
- เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ (ไก่, ไก่งวง, เนื้อวัว)
- ปลา (แซลมอน, ทูน่า, ค็อด)
- ไข่
- ผลิตภัณฑ์จากนม (กรีกโยเกิร์ต, คอตเทจชีส)
- แหล่งโปรตีนจากพืช (ถั่ว, เลนทิล, เต้าหู้, เทมเป้)
- อาหารเสริมโปรตีน (เวย์, เคซีน, ถั่วเหลือง, ถั่วลันเตา)
ข. การบริโภคคาร์โบไฮเดรต
การบริโภคคาร์โบไฮเดรตควรอยู่ในระดับปานกลางและกำหนดเวลาอย่างมีกลยุทธ์ เน้นการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากแหล่งต่างๆ เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ และผัก การบริโภคคาร์โบไฮเดรตรอบๆ การออกกำลังกายสามารถช่วยเติมพลังงานและเติมไกลโคเจนในกล้ามเนื้อได้ ลองพิจารณากลยุทธ์การหมุนเวียนคาร์โบไฮเดรต (Carb Cycling) โดยบริโภคคาร์โบไฮเดรตสูงในวันฝึกและต่ำลงในวันพัก
ค. การบริโภคไขมัน
รวมไขมันดีไว้ในอาหารของคุณจากแหล่งต่างๆ เช่น อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดพืช และน้ำมันมะกอก ไขมันดีมีความจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวม ตั้งเป้าให้ได้แคลอรีจากไขมันประมาณ 20-30% ของแคลอรีทั้งหมดต่อวัน
ง. การจัดการแคลอรี
เริ่มต้นด้วยการขาดดุลแคลอรีเล็กน้อยหรือกินเท่ากับค่าบำรุงรักษา ติดตามความคืบหน้าและปรับปริมาณแคลอรีตามความเหมาะสม โดยทั่วไปการขาดดุล 200-500 แคลอรีต่อวันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โปรดจำไว้ว่าการขาดดุลที่ 'เหมาะสม' นั้นขึ้นอยู่กับเมแทบอลิซึม กิจกรรม และเป้าหมายองค์ประกอบร่างกายของแต่ละบุคคล การใช้แอปติดตามอาหารสามารถช่วยในการตรวจสอบปริมาณแคลอรีและสารอาหารหลักได้ จงอดทน! การทำ Body Recomposition เหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น
จ. ตัวอย่างแผนอาหาร (1800 แคลอรี, โปรตีน 150 ก., คาร์โบไฮเดรต 150 ก., ไขมัน 60 ก.):
นี่เป็นเพียงแผนตัวอย่างและควรปรับเปลี่ยนตามความต้องการและความชอบของแต่ละบุคคล
- อาหารเช้า (400 แคลอรี): ข้าวโอ๊ต (50 กรัม แห้ง) กับเบอร์รี่ (100 กรัม) และผงโปรตีน (30 กรัม)
- อาหารกลางวัน (500 แคลอรี): สลัดอกไก่ย่าง (อกไก่ 150 กรัม, ผักสลัดรวม, น้ำสลัดน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ, ผักรวม 100 กรัม)
- ของว่าง (200 แคลอรี): กรีกโยเกิร์ต (170 กรัม) กับอัลมอนด์ (30 กรัม)
- อาหารเย็น (700 แคลอรี): แซลมอนอบ (150 กรัม) กับข้าวกล้อง (100 กรัม สุก) และบรอกโคลีนึ่ง (150 กรัม)
2. การฝึกซ้อม
ก. การฝึกด้วยแรงต้าน
การฝึกด้วยแรงต้านเป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อและรักษามวลกล้ามเนื้อในระหว่างที่แคลอรีขาดดุล ตั้งเป้าฝึกความแข็งแรงอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเน้นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ทั้งหมด เน้นท่าออกกำลังกายแบบผสม (Compound Exercises) เช่น สควอท, เดดลิฟท์, เบนช์เพรส และโอเวอร์เฮดเพรส
ข. หลักการเพิ่มความหนัก (Progressive Overload)
Progressive Overload คือการค่อยๆ เพิ่มน้ำหนัก จำนวนครั้ง หรือจำนวนเซตที่คุณยกเมื่อเวลาผ่านไป หลักการนี้จำเป็นต่อการเติบโตของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ติดตามการออกกำลังกายของคุณและพยายามพัฒนาประสิทธิภาพในแต่ละสัปดาห์
ค. ความถี่และปริมาณการฝึก
ความถี่และปริมาณการฝึกที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับประสบการณ์และความสามารถในการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว การฝึกกล้ามเนื้อแต่ละส่วน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ด้วยปริมาณปานกลาง (10-20 เซตต่อกลุ่มกล้ามเนื้อต่อสัปดาห์) จะมีประสิทธิภาพสำหรับคนส่วนใหญ่
ง. คาร์ดิโอ
แม้จะไม่จำเป็น แต่คาร์ดิโอก็สามารถช่วยเพิ่มการใช้พลังงานและปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้ เลือกกิจกรรมที่คุณชอบและสามารถทำได้ในระยะยาว คาร์ดิโอแบบความเข้มข้นต่ำคงที่ (LISS) เช่น การเดินหรือปั่นจักรยาน เป็นตัวเลือกที่ดีในการรักษามวลกล้ามเนื้อ
จ. ตัวอย่างตารางฝึก:
- วันจันทร์: ส่วนบน (อก, หลัง, ไหล่, ไบเซ็ปส์, ไตรเซ็ปส์)
- วันพุธ: ส่วนล่าง (ควอด, แฮมสตริง, ก้น, น่อง)
- วันศุกร์: ทั้งตัว (ท่า Compound ด้วยน้ำหนักปานกลาง)
3. การใช้ชีวิต
ก. การนอนหลับ
ตั้งเป้านอนหลับให้มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การผลิตฮอร์โมน และสุขภาพโดยรวม
ข. การจัดการความเครียด
จัดการความเครียดด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ หรือการทำกิจกรรมที่คุณชอบ
ค. การดื่มน้ำ
รักษาระดับน้ำในร่างกายให้เพียงพอโดยการดื่มน้ำมากๆ ตลอดทั้งวัน
ง. ความสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Body Recomposition ยึดมั่นในแผนโภชนาการและการฝึกซ้อมของคุณอย่างสม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของ Body Recomposition
มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถมีอิทธิพลต่อความสำเร็จของการทำ Body Recomposition:
1. อายุ
เมื่อเราอายุมากขึ้น การเผาผลาญของเราจะช้าลงและเรามักจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สิ่งนี้สามารถทำให้การทำ Body Recomposition ท้าทายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นไปได้ที่จะบรรลุผลลัพธ์ที่สำคัญด้วยการฝึกซ้อมและโภชนาการที่เหมาะสม
2. พันธุกรรม
พันธุกรรมมีบทบาทในการเติบโตของกล้ามเนื้อ การกระจายไขมัน และการเผาผลาญ บางคนมีแนวโน้มที่จะสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันได้ง่ายกว่าคนอื่นโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม พันธุกรรมไม่ใช่ชะตากรรม ด้วยความพยายามอย่างสม่ำเสมอและแผนที่ออกแบบมาอย่างดี ทุกคนสามารถปรับปรุงองค์ประกอบร่างกายของตนเองได้
3. ประสบการณ์การฝึก
ผู้ที่เพิ่งเริ่มฝึกด้วยแรงต้านมักจะมีอัตราการเติบโตของกล้ามเนื้อที่เร็วกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ฝึกมานานแล้ว ทำให้การทำ Body Recomposition ง่ายขึ้นสำหรับผู้เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีประสบการณ์ก็ยังสามารถทำ Body Recomposition ได้ด้วยเทคนิคและกลยุทธ์การฝึกขั้นสูง
4. ประวัติการคุมอาหาร
ผู้ที่มีประวัติการไดเอทแบบโยโย่หรือการกินแบบจำกัดอาจมีการเผาผลาญที่ช้าลงและการทำงานของฮอร์โมนที่บกพร่อง ทำให้การทำ Body Recomposition ท้าทายยิ่งขึ้น ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างรูปแบบการกินที่ยั่งยืนและสมดุลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญและระดับฮอร์โมน
5. สุขภาพฮอร์โมน
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อองค์ประกอบของร่างกาย ภาวะต่างๆ เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism), กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) และภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำสามารถขัดขวางการเติบโตของกล้ามเนื้อและส่งเสริมการเพิ่มของไขมันได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลของฮอร์โมนใดๆ
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง
มีข้อผิดพลาดทั่วไปหลายประการที่สามารถขัดขวางความคืบหน้าในการทำ Body Recomposition:
- โภชนาการที่ไม่สม่ำเสมอ: ไม่ติดตามแคลอรีและสารอาหารหลัก ข้ามมื้ออาหาร หรือทานมื้อโกง (cheat meal) บ่อยเกินไปอาจทำให้ความคืบหน้าหยุดชะงัก
- การบริโภคโปรตีนไม่เพียงพอ: ไม่บริโภคโปรตีนเพียงพอที่จะสนับสนุนการสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อ
- ขาดการฝึกด้วยแรงต้าน: อาศัยเพียงคาร์ดิโอเพื่อลดไขมันโดยไม่รวมการฝึกด้วยแรงต้าน
- การฝึกหนักเกินไป: ฝึกบ่อยเกินไปหรือหนักเกินไปโดยไม่ให้เวลาพักฟื้นที่เพียงพอ
- ความใจร้อน: คาดหวังผลลัพธ์เร็วเกินไปและยอมแพ้ก่อนเวลาอันควร
- ละเลยการนอนหลับและความเครียด: ละเลยการนอนหลับและการจัดการความเครียด ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระดับฮอร์โมนและการฟื้นตัว
การติดตามความคืบหน้า
การติดตามความคืบหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตรวจสอบผลลัพธ์และทำการปรับเปลี่ยนแผนของคุณตามความจำเป็น พิจารณาใช้วิธีการต่อไปนี้:
- น้ำหนัก: ชั่งน้ำหนักตัวเองเป็นประจำ แต่อย่าพึ่งพาน้ำหนักเพียงอย่างเดียวเป็นตัวบ่งชี้ความคืบหน้า
- เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: วัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของคุณโดยใช้คาลิปเปอร์, เครื่องชั่งวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (BIA) หรือเครื่องสแกน DEXA
- การวัดสัดส่วน: วัดขนาดรอบเอว, สะโพก, หน้าอก และแขนขา
- ภาพถ่ายความคืบหน้า: ถ่ายภาพความคืบหน้าทุกสองสามสัปดาห์เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของคุณด้วยสายตา
- ความแข็งแรง: ติดตามความแข็งแรงของคุณในท่าออกกำลังกายหลักๆ เช่น สควอท, เดดลิฟท์, เบนช์เพรส และโอเวอร์เฮดเพรส
บทสรุป
Body Recomposition เป็นกระบวนการที่ท้าทายแต่คุ้มค่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ กัน มันต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุมซึ่งประกอบด้วยโภชนาการที่เหมาะสม การฝึกด้วยแรงต้านอย่างสม่ำเสมอ และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ด้วยการทำความเข้าใจศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการปรับองค์ประกอบร่างกาย การนำกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริงมาใช้ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไป คุณจะสามารถปรับปรุงองค์ประกอบร่างกายและสุขภาพโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ โปรดจำไว้ว่าความสม่ำเสมอ ความอดทน และแนวทางที่เหมาะกับแต่ละบุคคลคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ลองพิจารณาทำงานร่วมกับเทรนเนอร์ส่วนตัวหรือนักกำหนดอาหารที่มีคุณสมบัติเพื่อสร้างแผนที่ปรับให้เข้ากับความต้องการและเป้าหมายส่วนบุคคลของคุณ การทำ Body Recomposition คือการเดินทาง และผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่ากับความพยายาม โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมอาหารหรือการออกกำลังกายใหม่ๆ
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลที่ให้ไว้ในคู่มือนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเสมอ ก่อนที่จะเริ่มโปรแกรมอาหารหรือการออกกำลังกายใหม่ๆ ผู้เขียนและผู้จัดพิมพ์จะไม่รับผิดชอบต่อการบาดเจ็บหรือปัญหาสุขภาพใดๆ ที่อาจเป็นผลมาจากการปฏิบัติตามข้อมูลที่ให้ไว้ในคู่มือนี้