คู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับ Technical SEO ครอบคลุมเทคนิคการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่ออันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหาและประสบการณ์ผู้ใช้ในระดับโลก
ทักษะทางเทคนิค SEO: การปรับแต่งเว็บไซต์สำหรับเครื่องมือค้นหา
ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน การมีตัวตนบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา (SEO) คือรากฐานที่สำคัญของตัวตนนั้น และในขณะที่เนื้อหาและลิงก์ย้อนกลับ (backlinks) มีความสำคัญ Technical SEO ก็เป็นรากฐานที่ทุกความพยายามอื่น ๆ ถูกสร้างขึ้น คู่มือฉบับสมบูรณ์นี้จะเจาะลึกถึงทักษะทางเทคนิค SEO ที่จำเป็นในการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา และท้ายที่สุดคือการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ทั่วโลก
Technical SEO คืออะไร?
Technical SEO มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งด้านเทคนิคของเว็บไซต์ของคุณเพื่อปรับปรุงความสามารถในการรวบรวมข้อมูล (crawlability) การจัดทำดัชนี (indexability) และประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวม ช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึง ทำความเข้าใจ และจัดอันดับเนื้อหาของคุณได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแตกต่างจาก on-page และ off-page SEO เพราะ Technical SEO เกี่ยวข้องกับหลังบ้านของเว็บไซต์เป็นหลัก มันคือการทำให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถค้นพบและตีความโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลองนึกภาพว่ามันเหมือนกับการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับบ้าน ไม่ว่าการตกแต่งจะสวยงามเพียงใด (เนื้อหา) หรือคานรับน้ำหนักจะแข็งแรงแค่ไหน (backlinks) หากรากฐานอ่อนแอ (Technical SEO) โครงสร้างทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเสี่ยง
ทำไม Technical SEO จึงมีความสำคัญ?
Technical SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลหลายประการ:
- อันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหา: การปรับแต่งด้านเทคนิคของเว็บไซต์จะช่วยให้เครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้อันดับสูงขึ้น
- ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดียิ่งขึ้น: เว็บไซต์ที่มีพื้นฐานทางเทคนิคที่ดีจะโหลดได้รวดเร็ว เป็นมิตรกับมือถือ และมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่น ซึ่งส่งผลให้มีส่วนร่วมและอัตราการแปลง (conversion rates) สูงขึ้น
- ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น: อันดับที่สูงขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นจะส่งผลให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิกมากขึ้น
- ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีขึ้นจากความพยายามทำ SEO: การแก้ไขปัญหาทางเทคนิคจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาและความพยายามในการสร้างลิงก์ของคุณให้ได้สูงสุด
- ความได้เปรียบทางการแข่งขัน: ในตลาดออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคสามารถทำให้คุณได้เปรียบคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ
ทักษะทางเทคนิค SEO ที่จำเป็น
เพื่อให้การทำ Technical SEO มีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องพัฒนาทักษะหลายด้าน นี่คือรายละเอียดของทักษะที่สำคัญที่สุด:
1. ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของเว็บไซต์ (Crawlability and Indexability)
Crawlability หมายถึงความสามารถของเครื่องมือค้นหาในการเข้าถึงและสำรวจเว็บไซต์ของคุณ ส่วน Indexability หมายถึงความสามารถในการเพิ่มหน้าเว็บของคุณลงในดัชนีของพวกเขา ทำให้หน้าเว็บเหล่านั้นมีสิทธิ์ปรากฏในผลการค้นหา
a. การสร้างและส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap)
แผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) คือไฟล์ XML ที่แสดงรายการหน้าสำคัญทั้งหมดบนเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้เครื่องมือค้นหาค้นพบและรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบเสมือนแผนที่สำหรับบอทของเครื่องมือค้นหา การส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณไปยังเครื่องมือค้นหาอย่าง Google (ผ่าน Google Search Console) และ Bing (ผ่าน Bing Webmaster Tools) จะช่วยให้พวกเขาทราบถึงทุกหน้าบนเว็บไซต์ของคุณ
ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณกำลังเปิดร้านอีคอมเมิร์ซแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสร้างแผนผังเว็บไซต์จะช่วยให้ Google จัดทำดัชนีหน้าผลิตภัณฑ์ หน้าหมวดหมู่ และบล็อกโพสต์ทั้งหมดของคุณได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มั่นใจได้ว่าหน้าเหล่านั้นจะปรากฏในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
b. การปรับแต่งไฟล์ Robots.txt
ไฟล์ robots.txt จะสั่งบอทของเครื่องมือค้นหาว่าควรหรือไม่ควรรวบรวมข้อมูลส่วนใดของเว็บไซต์ของคุณ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้บอทเข้าถึงหน้าที่ละเอียดอ่อนหรือไม่สำคัญ ช่วยประหยัดงบประมาณการรวบรวมข้อมูล (crawl budget - จำนวนหน้าที่บอทจะรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณภายในกรอบเวลาที่กำหนด) และป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด:
- ใช้ไฟล์ robots.txt เพื่อบล็อกการเข้าถึงพื้นที่ผู้ดูแลระบบ หน้าผลการค้นหาภายใน และเนื้อหาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น
- พิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะบล็อกหน้าใดบ้าง เนื่องจากการบล็อกหน้าที่สำคัญอาจทำให้ไม่ถูกจัดทำดัชนี
- ทดสอบไฟล์ robots.txt ของคุณโดยใช้ Google Search Console เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง
c. การระบุและแก้ไขข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล (Crawl Errors)
ข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูลคือปัญหาที่ทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณได้ ข้อผิดพลาดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออันดับและปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ การตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเพื่อหาข้อผิดพลาดเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอโดยใช้ Google Search Console และ Bing Webmaster Tools เป็นสิ่งจำเป็น
ข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูลที่พบบ่อย:
- 404 Errors (Page Not Found): เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้พยายามเข้าถึงหน้าที่ไม่มีอยู่ แก้ไขโดยการทำ redirects ที่เหมาะสมหรือกู้คืนหน้าที่หายไป
- 500 Errors (Internal Server Error): บ่งชี้ว่ามีปัญหากับเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ของคุณ ข้อผิดพลาดเหล่านี้ต้องการการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค
- Redirect Errors: เกิดขึ้นเมื่อมี redirect chain ที่ยาวเกินไปหรือมี redirect loop
2. การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์
ความเร็วของเว็บไซต์เป็นปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญและเป็นตัวกำหนดหลักของประสบการณ์ผู้ใช้ เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะนำไปสู่อัตราการตีกลับ (bounce rates) ที่สูงขึ้น การมีส่วนร่วมที่ลดลง และการแปลง (conversions) ที่น้อยลง การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้ง SEO และความพึงพอใจของผู้ใช้
a. การวิเคราะห์ด้วย PageSpeed Insights
PageSpeed Insights ของ Google เป็นเครื่องมือฟรีที่วิเคราะห์ความเร็วของเว็บไซต์และให้คำแนะนำในการปรับปรุง โดยจะระบุส่วนที่เว็บไซต์ของคุณช้าและแนะนำการปรับแต่งเฉพาะเพื่อปรับปรุงเวลาในการโหลด โดยจะพิจารณาทั้งความเร็วบนมือถือและเดสก์ท็อป
ตัวชี้วัดหลักที่ PageSpeed Insights วิเคราะห์:
- First Contentful Paint (FCP): วัดเวลาที่ใช้ในการแสดงข้อความหรือภาพแรกบนหน้าจอ
- Largest Contentful Paint (LCP): วัดเวลาที่ใช้ในการแสดงองค์ประกอบเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าจอ
- First Input Delay (FID): วัดเวลาที่เบราว์เซอร์ใช้ในการตอบสนองต่อการโต้ตอบครั้งแรกของผู้ใช้ (เช่น การคลิกลิงก์หรือปุ่ม)
- Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรของภาพในหน้าระหว่างการโหลด
b. การปรับแต่งรูปภาพ
รูปภาพขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับการปรับแต่งเป็นสาเหตุทั่วไปของเวลาในการโหลดที่ช้า การปรับแต่งรูปภาพเกี่ยวข้องกับการบีบอัดโดยไม่ลดทอนคุณภาพ การเลือกรูปแบบไฟล์ที่ถูกต้อง (JPEG, PNG, WebP) และการใช้รูปภาพที่ตอบสนอง (responsive images)
เทคนิคการปรับแต่งรูปภาพ:
- การบีบอัด (Compression): ใช้เครื่องมือเช่น TinyPNG หรือ ImageOptim เพื่อบีบอัดรูปภาพโดยไม่สูญเสียคุณภาพที่สังเกตได้
- รูปแบบไฟล์ (File Format): ใช้ JPEG สำหรับภาพถ่ายและ PNG สำหรับกราฟิกที่มีความโปร่งใส WebP เป็นรูปแบบภาพสมัยใหม่ที่ให้การบีบอัดและคุณภาพที่เหนือกว่า
- รูปภาพที่ตอบสนอง (Responsive Images): ใช้แอตทริบิวต์
srcsetในแท็ก<img>เพื่อแสดงขนาดรูปภาพที่แตกต่างกันตามอุปกรณ์ของผู้ใช้ - Lazy Loading: โหลดรูปภาพเฉพาะเมื่อปรากฏใน viewport ซึ่งช่วยปรับปรุงเวลาในการโหลดหน้าเริ่มต้น
c. การลดขนาดโค้ด (Code Minification)
การลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript เกี่ยวข้องกับการลบอักขระที่ไม่จำเป็น (เช่น ช่องว่าง, คอมเมนต์) ออกจากโค้ด ซึ่งช่วยลดขนาดไฟล์และปรับปรุงเวลาในการโหลด มีเครื่องมือออนไลน์และปลั๊กอินที่สามารถทำขั้นตอนนี้ได้โดยอัตโนมัติ
d. การแคชของเบราว์เซอร์ (Browser Caching)
การแคชของเบราว์เซอร์ช่วยให้เบราว์เซอร์สามารถจัดเก็บไฟล์ tĩnh (static assets) เช่น รูปภาพ, ไฟล์ CSS, ไฟล์ JavaScript ไว้ในเครื่อง เพื่อไม่ต้องดาวน์โหลดอีกครั้งในการเข้าชมครั้งต่อไป ซึ่งสามารถปรับปรุงเวลาในการโหลดสำหรับผู้เข้าชมที่กลับมาได้อย่างมาก
e. เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (Content Delivery Network - CDN)
CDN คือเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลกซึ่งจะแคชไฟล์ tĩnh ของเว็บไซต์ของคุณ เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ เซิร์ฟเวอร์ CDN ที่ใกล้ที่สุดจะส่งเนื้อหา ซึ่งช่วยลดความหน่วง (latency) และปรับปรุงเวลาในการโหลด นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่กำหนดเป้าหมายผู้ชมทั่วโลก
ตัวอย่าง: บริษัทในแคนาดาที่ขายสินค้าให้กับลูกค้าในยุโรปสามารถใช้ CDN เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าในยุโรปจะได้รับประสบการณ์การโหลดที่รวดเร็ว แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์หลักของเว็บไซต์จะตั้งอยู่ในแคนาดาก็ตาม
3. การปรับแต่งสำหรับมือถือ (Mobile Optimization)
ด้วยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ การปรับแต่งสำหรับมือถือจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นส่วนสำคัญของ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้ Google ใช้การจัดทำดัชนีโดยเน้นที่อุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นหลัก (mobile-first indexing) ซึ่งหมายความว่า Google จะใช้เวอร์ชันมือถือของเว็บไซต์เป็นหลักในการจัดทำดัชนีและจัดอันดับ
a. การออกแบบที่เป็นมิตรกับมือถือ (Mobile-Friendly Design)
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแบบตอบสนอง (responsive) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น การออกแบบที่เป็นมิตรกับมือถือจะมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่สอดคล้องกันและน่าพึงพอใจในทุกอุปกรณ์
b. ความเร็วของหน้าบนมือถือ
ผู้ใช้มือถือมักจะมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่าผู้ใช้เดสก์ท็อป ดังนั้นการปรับปรุงความเร็วของหน้าบนมือถือจึงมีความสำคัญยิ่งกว่า ใช้เทคนิคที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ (การปรับแต่งรูปภาพ, การลดขนาดโค้ด, การแคชของเบราว์เซอร์, CDN) เพื่อปรับปรุงเวลาในการโหลดบนมือถือ
c. การใช้งานบนมือถือ (Mobile Usability)
ให้ความสนใจกับปัจจัยการใช้งานบนมือถือ เช่น:
- ขนาดเป้าหมายการสัมผัส (Touch Target Size): ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่มและลิงก์มีขนาดใหญ่พอที่จะแตะได้ง่ายบนอุปกรณ์มือถือ
- การกำหนดค่า Viewport: ใช้แท็ก
<meta name="viewport">เพื่อปรับขนาดเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอต่าง ๆ - ขนาดตัวอักษร (Font Size): ใช้ขนาดตัวอักษรที่อ่านง่ายและสบายตาบนหน้าจอขนาดเล็ก
- หลีกเลี่ยงโฆษณาคั่นระหว่างหน้าที่รบกวน (Intrusive Interstitials): โฆษณาป๊อปอัปและโฆษณาคั่นระหว่างหน้าอาจรบกวนผู้ใช้บนอุปกรณ์มือถือและส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ
4. การมาร์กอัปข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data Markup - Schema Markup)
การมาร์กอัปข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Schema Markup) คือโค้ดที่คุณเพิ่มเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาของคุณแก่เครื่องมือค้นหา ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจบริบทและความหมายของเนื้อหาของคุณ ทำให้สามารถแสดงผลลัพธ์ที่เป็นริชสแน็ปเพ็ต (rich snippets) ในผลการค้นหาได้
ประโยชน์ของ Schema Markup:
- ปรับปรุงความเข้าใจของเครื่องมือค้นหา: ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ริชสแน็ปเพ็ต (Rich Snippets): เปิดใช้งานริชสแน็ปเพ็ตในผลการค้นหา เช่น การให้คะแนนดาว, ราคาสินค้า, และวันที่จัดงาน ซึ่งสามารถปรับปรุงอัตราการคลิกผ่าน (click-through rates) ได้
- เพิ่มการมองเห็น: ทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในผลการค้นหา
ประเภทของ Schema Markup:
- Article: สำหรับบทความข่าวและบล็อกโพสต์
- Product: สำหรับหน้าผลิตภัณฑ์ รวมถึงราคา, ความพร้อมจำหน่าย, และการให้คะแนน
- Recipe: สำหรับสูตรอาหาร รวมถึงส่วนผสม, คำแนะนำ, และเวลาทำอาหาร
- Event: สำหรับกิจกรรม รวมถึงวันที่, เวลา, และสถานที่
- Organization: สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรของคุณ รวมถึงที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์, และโลโก้
- LocalBusiness: สำหรับธุรกิจท้องถิ่น รวมถึงที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์, เวลาทำการ, และรีวิวจากลูกค้า
- FAQPage: สำหรับหน้าคำถามที่พบบ่อย
- HowTo: สำหรับคู่มือวิธีการทำ
ตัวอย่าง: บริษัททัวร์ที่ให้บริการทัวร์ในอเมริกาใต้สามารถใช้ schema markup เพื่อเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ เช่น ราคา, ระยะเวลา, และจุดหมายปลายทางลงในเว็บไซต์ของตน ซึ่งจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถแสดงริชสแน็ปเพ็ตในผลการค้นหา ดึงดูดลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
5. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ (HTTPS)
HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) เป็นเวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP ซึ่งเข้ารหัสการสื่อสารระหว่างเบราว์เซอร์ของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ ช่วยป้องกันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจากการถูกดักจับโดยบุคคลที่สาม Google สนับสนุนการใช้ HTTPS มานานหลายปีและใช้เป็นสัญญาณในการจัดอันดับ เว็บไซต์ทุกแห่งควรใช้ HTTPS
ประโยชน์ของ HTTPS:
- ความปลอดภัยที่ดีขึ้น: ป้องกันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจากการถูกดักจับ
- เพิ่มความไว้วางใจของผู้ใช้: แสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณปลอดภัย สร้างความไว้วางใจและความมั่นใจ
- การเพิ่มอันดับ: HTTPS เป็นสัญญาณในการจัดอันดับ
- ข้อมูลการอ้างอิง (Referral Data): HTTPS ช่วยรักษาข้อมูลการอ้างอิงใน Google Analytics
การติดตั้ง HTTPS:
- ขอใบรับรอง SSL จากผู้ออกใบรับรอง (Certificate Authority - CA)
- ติดตั้งใบรับรอง SSL บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ของคุณ
- กำหนดค่าเว็บไซต์ของคุณให้ใช้ HTTPS
- เปลี่ยนเส้นทาง (redirect) การเข้าชมจาก HTTP ไปยัง HTTPS
6. การจัดการเนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content Management)
เนื้อหาซ้ำซ้อนหมายถึงเนื้อหาที่ปรากฏบนหลายหน้าของเว็บไซต์ของคุณหรือบนเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือค้นหาสับสนและส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ
สาเหตุของเนื้อหาซ้ำซ้อน:
- URL หลายรายการสำหรับเนื้อหาเดียวกัน: ตัวอย่างเช่น
example.com,www.example.com,example.com/index.html, และexample.com/homeทั้งหมดแสดงเนื้อหาเดียวกัน - หน้าสำหรับพิมพ์: การสร้างหน้าแยกต่างหากสำหรับการพิมพ์เนื้อหาอาจทำให้เกิดปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน
- เนื้อหาที่ถูกขโมย: เว็บไซต์อื่นอาจคัดลอกเนื้อหาของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต
วิธีแก้ปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน:
- Canonicalization: ใช้แท็ก
<link rel="canonical">เพื่อระบุเวอร์ชันที่ต้องการของหน้าเว็บ สิ่งนี้จะบอกเครื่องมือค้นหาว่าควรจัดทำดัชนีและจัดอันดับ URL ใด - 301 Redirects: เปลี่ยนเส้นทางหน้าซ้ำซ้อนไปยังเวอร์ชันที่ต้องการ
- Noindex Tag: ใช้แท็ก
<meta name="robots" content="noindex">เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องมือค้นหาจัดทำดัชนีหน้าซ้ำซ้อน - การเผยแพร่เนื้อหา (Content Syndication): เมื่อเผยแพร่เนื้อหาของคุณไปยังเว็บไซต์อื่น ให้ใช้แท็ก
<link rel="canonical">เพื่อชี้กลับไปยังแหล่งที่มาดั้งเดิม
7. SEO ระหว่างประเทศ (International SEO) (ถ้ามี)
หากเว็บไซต์ของคุณกำหนดเป้าหมายหลายประเทศหรือหลายภาษา คุณต้องใช้เทคนิค SEO ระหว่างประเทศเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาที่ถูกต้องจะแสดงต่อผู้ใช้ที่ถูกต้อง
a. Hreflang Tags
Hreflang tags จะบอกเครื่องมือค้นหาว่าหน้าเว็บนั้นมีไว้สำหรับภาษาและประเทศใด ซึ่งช่วยให้เครื่องมือค้นหาแสดงเวอร์ชันที่ถูกต้องของเว็บไซต์ของคุณแก่ผู้ใช้ตามตำแหน่งและภาษาที่พวกเขาต้องการ และยังช่วยป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อนในเวอร์ชันภาษาต่าง ๆ ของหน้าเว็บ
ตัวอย่าง: เว็บไซต์ที่กำหนดเป้าหมายทั้งผู้ใช้ที่พูดภาษาอังกฤษในสหรัฐอเมริกาและผู้ใช้ที่พูดภาษาสเปนในสเปนจะใช้ hreflang tags เพื่อระบุว่าควรแสดงหน้าเว็บเวอร์ชันใดให้แก่ผู้ใช้แต่ละกลุ่ม
รูปแบบ Hreflang Tag:
<link rel="alternate" hreflang="en-us" href="https://example.com/en-us/" /><link rel="alternate" hreflang="es-es" href="https://example.com/es-es/" />
ในตัวอย่างนี้ en-us ระบุภาษาอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกา และ es-es ระบุภาษาสเปนและประเทศสเปน
b. โดเมนเฉพาะประเทศ (ccTLDs)
การใช้โดเมนระดับบนสุดตามรหัสประเทศ (ccTLDs) เช่น .uk สำหรับสหราชอาณาจักร, .de สำหรับเยอรมนี, หรือ .ca สำหรับแคนาดา สามารถส่งสัญญาณให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าเว็บไซต์ของคุณมีเป้าหมายเฉพาะสำหรับผู้ใช้ในประเทศเหล่านั้น
c. ไดเรกทอรีย่อยหรือโดเมนย่อย
คุณยังสามารถใช้ไดเรกทอรีย่อย (เช่น example.com/en/ สำหรับภาษาอังกฤษ) หรือโดเมนย่อย (เช่น en.example.com สำหรับภาษาอังกฤษ) เพื่อกำหนดเป้าหมายภาษาหรือประเทศต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว ccTLDs ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับเครื่องมือค้นหา
8. Core Web Vitals
Core Web Vitals คือชุดปัจจัยเฉพาะที่ Google พิจารณาว่ามีความสำคัญต่อประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมของเว็บไซต์ เป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดต Page Experience ของ Google และส่งผลโดยตรงต่ออันดับการค้นหา Core Web Vitals ประกอบด้วย: Largest Contentful Paint (LCP), First Input Delay (FID), และ Cumulative Layout Shift (CLS)
- Largest Contentful Paint (LCP): วัดประสิทธิภาพการโหลด ควรเกิดขึ้นภายใน 2.5 วินาที
- First Input Delay (FID): วัดการโต้ตอบ ควรน้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
- Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรของภาพ ควรน้อยกว่า 0.1
คุณสามารถวัด Core Web Vitals ได้โดยใช้ Google's PageSpeed Insights, Google Search Console และเครื่องมือวัดประสิทธิภาพเว็บอื่น ๆ
เครื่องมือสำหรับ Technical SEO
มีเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถช่วยคุณในการทำ Technical SEO:
- Google Search Console: ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณในการค้นหาของ Google รวมถึงข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล, การครอบคลุมของดัชนี, และคำค้นหา
- Bing Webmaster Tools: คล้ายกับ Google Search Console แต่สำหรับการค้นหาของ Bing
- Google PageSpeed Insights: วิเคราะห์ความเร็วของเว็บไซต์และให้คำแนะนำในการปรับปรุง
- GTmetrix: เครื่องมือทดสอบความเร็วเว็บไซต์ยอดนิยมอีกตัวหนึ่ง
- Screaming Frog SEO Spider: โปรแกรมรวบรวมข้อมูลบนเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถระบุปัญหา Technical SEO เช่น ลิงก์เสีย, เนื้อหาซ้ำซ้อน, และ meta tags ที่หายไป
- SEMrush: เครื่องมือ SEO ที่ครอบคลุมซึ่งมีฟีเจอร์หลากหลาย รวมถึงการตรวจสอบเว็บไซต์, การวิจัยคีย์เวิร์ด, และการวิเคราะห์คู่แข่ง
- Ahrefs: เครื่องมือ SEO ยอดนิยมอีกตัวหนึ่งที่มีฟีเจอร์คล้ายกับ SEMrush
- Lighthouse: เครื่องมืออัตโนมัติแบบโอเพนซอร์สสำหรับปรับปรุงคุณภาพของหน้าเว็บ มีการตรวจสอบประสิทธิภาพ, การเข้าถึง, progressive web apps, SEO และอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถใช้ได้ใน Chrome DevTools
การติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับ Technical SEO
Technical SEO เป็นสาขาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหาเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ก้าวทันอยู่เสมอ สิ่งสำคัญคือ:
- ติดตามบล็อกและสื่อสิ่งพิมพ์ในวงการ: ติดตามข่าวสาร SEO ล่าสุดและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยติดตามบล็อกและสื่อสิ่งพิมพ์ในวงการที่มีชื่อเสียง เช่น Search Engine Land, Search Engine Journal, และ Moz
- เข้าร่วมการประชุมและสัมมนาออนไลน์เกี่ยวกับ SEO: เข้าร่วมงานอีเวนต์ในวงการเพื่อเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO คนอื่น ๆ
- ทดลองและทดสอบ: อย่ากลัวที่จะทดลองใช้เทคนิคต่าง ๆ และทดสอบผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ: ตรวจสอบอันดับ, ปริมาณการเข้าชม, และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อระบุส่วนที่ต้องปรับปรุง
บทสรุป
การฝึกฝนทักษะทางเทคนิค SEO ให้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในระยะยาวในโลกออนไลน์ ด้วยการปรับแต่งด้านเทคนิคของเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถปรับปรุงความสามารถในการรวบรวมข้อมูล, การจัดทำดัชนี, ประสบการณ์ผู้ใช้, และท้ายที่สุดคืออันดับในเครื่องมือค้นหาของคุณ คู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ได้ให้ความรู้และเครื่องมือที่คุณต้องการในการเริ่มต้น อย่าลืมติดตามเทรนด์และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดล่าสุดอยู่เสมอ และตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้อยู่เสมอ