ไทย

ปลดล็อกการดึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพใน React ด้วย Suspense! สำรวจกลยุทธ์ต่างๆ ตั้งแต่การโหลดระดับคอมโพเนนต์ไปจนถึงการดึงข้อมูลแบบคู่ขนาน และสร้างแอปพลิเคชันที่ตอบสนองเร็วและใช้งานง่าย

React Suspense: กลยุทธ์การดึงข้อมูลสำหรับแอปพลิเคชันยุคใหม่

React Suspense เป็นฟีเจอร์ที่ทรงพลังซึ่งเปิดตัวใน React 16.6 ที่ช่วยให้การจัดการการทำงานแบบอะซิงโครนัส (asynchronous operations) โดยเฉพาะการดึงข้อมูลเป็นเรื่องง่ายขึ้น มันช่วยให้คุณสามารถ "พัก" (suspend) การเรนเดอร์คอมโพเนนต์ขณะที่รอข้อมูลโหลด ซึ่งเป็นวิธีการจัดการสถานะการโหลด (loading states) ที่เป็นแบบ declarative และเป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้น คู่มือนี้จะสำรวจกลยุทธ์การดึงข้อมูลต่างๆ โดยใช้ React Suspense และให้ข้อมูลเชิงปฏิบัติในการสร้างแอปพลิเคชันที่ตอบสนองได้ดีและมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจ React Suspense

ก่อนที่จะลงลึกในกลยุทธ์เฉพาะทาง เรามาทำความเข้าใจแนวคิดหลักของ React Suspense กันก่อน:

กลยุทธ์การดึงข้อมูลด้วย Suspense

นี่คือกลยุทธ์การดึงข้อมูลที่มีประสิทธิภาพหลายอย่างโดยใช้ React Suspense:

1. การดึงข้อมูลระดับคอมโพเนนต์ (Component-Level Data Fetching)

นี่เป็นแนวทางที่ตรงไปตรงมาที่สุด โดยแต่ละคอมโพเนนต์จะดึงข้อมูลของตัวเองภายในขอบเขตของ Suspense เหมาะสำหรับคอมโพเนนต์ง่ายๆ ที่มีความต้องการข้อมูลที่เป็นอิสระต่อกัน

ตัวอย่าง:

สมมติว่าเรามีคอมโพเนนต์ UserProfile ที่ต้องดึงข้อมูลผู้ใช้จาก API:

// ยูทิลิตี้การดึงข้อมูลอย่างง่าย (แทนที่ด้วยไลบรารีที่คุณต้องการ)
const fetchData = (url) => {
  let status = 'pending';
  let result;
  let suspender = fetch(url)
    .then(res => {
      if (!res.ok) {
        throw new Error(`HTTP error! Status: ${res.status}`);
      }
      return res.json();
    })
    .then(
      res => {
        status = 'success';
        result = res;
      },
      err => {
        status = 'error';
        result = err;
      }
    );

  return {
    read() {
      if (status === 'pending') {
        throw suspender;
      } else if (status === 'error') {
        throw result;
      }
      return result;
    }
  };
};

const userResource = fetchData('/api/user/123');

function UserProfile() {
  const user = userResource.read();
  return (
    <div>
      <h2>{user.name}</h2>
      <p>Email: {user.email}</p>
    </div>
  );
}

function App() {
  return (
    <Suspense fallback={<div>Loading user data...</div>}>
      <UserProfile />
    </Suspense>
  );
}

คำอธิบาย:

ข้อดี:

ข้อเสีย:

2. การดึงข้อมูลแบบคู่ขนาน (Parallel Data Fetching)

เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงข้อมูลแบบน้ำตก คุณสามารถเริ่มต้นการร้องขอข้อมูลหลายๆ รายการพร้อมกันและใช้ Promise.all หรือเทคนิคที่คล้ายกันเพื่อรอให้ข้อมูลทั้งหมดพร้อมก่อนที่จะเรนเดอร์คอมโพเนนต์ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการโหลดโดยรวม

ตัวอย่าง:

const userResource = fetchData('/api/user/123');
const postsResource = fetchData('/api/user/123/posts');

function UserProfile() {
  const user = userResource.read();
  const posts = postsResource.read();

  return (
    <div>
      <h2>{user.name}</h2>
      <p>Email: {user.email}</p>
      <h3>Posts:</h3>
      <ul>
        {posts.map(post => (<li key={post.id}>{post.title}</li>))}
      </ul>
    </div>
  );
}

function App() {
  return (
    <Suspense fallback={<div>Loading user data and posts...</div>}>
      <UserProfile />
    </Suspense>
  );
}

คำอธิบาย:

ข้อดี:

ข้อเสีย:

3. Selective Hydration (สำหรับการเรนเดอร์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ - SSR)

เมื่อใช้ Server-Side Rendering (SSR) สามารถใช้ Suspense เพื่อเติมข้อมูล (hydrate) บางส่วนของหน้าเว็บได้ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถจัดลำดับความสำคัญในการ hydrate ส่วนที่สำคัญที่สุดของหน้าเว็บก่อน เพื่อปรับปรุง Time to Interactive (TTI) และประสิทธิภาพที่ผู้ใช้รับรู้ได้ วิธีนี้มีประโยชน์ในสถานการณ์ที่คุณต้องการแสดงเค้าโครงพื้นฐานหรือเนื้อหาหลักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เลื่อนการ hydrate ของคอมโพเนントที่ไม่สำคัญออกไป

ตัวอย่าง (เชิงแนวคิด):

// ฝั่งเซิร์ฟเวอร์:
<Suspense fallback={<div>Loading critical content...</div>}>
  <CriticalContent />
</Suspense>
<Suspense fallback={<div>Loading optional content...</div>}>
  <OptionalContent />
</Suspense>

คำอธิบาย:

ข้อดี:

ข้อเสีย:

4. ไลบรารีดึงข้อมูลที่รองรับ Suspense

ไลบรารีดึงข้อมูลยอดนิยมหลายตัวมีการรองรับ React Suspense ในตัว ไลบรารีเหล่านี้มักจะให้วิธีที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการดึงข้อมูลและทำงานร่วมกับ Suspense ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่:

ตัวอย่าง (ใช้ SWR):

import useSWR from 'swr'

const fetcher = (...args) => fetch(...args).then(res => res.json())

function UserProfile() {
  const { data: user, error } = useSWR('/api/user/123', fetcher, { suspense: true })

  if (error) return <div>failed to load</div>
  if (!user) return <div>loading...</div> // ส่วนนี้มักจะไม่ถูกเรนเดอร์เมื่อใช้ Suspense

  return (
    <div>
      <h2>{user.name}</h2>
      <p>Email: {user.email}</p>
    </div>
  )
}

function App() {
  return (
    <Suspense fallback={<div>Loading user data...</div>}>
      <UserProfile />
    </Suspense>
  );
}

คำอธิบาย:

ข้อดี:

ข้อเสีย:

การจัดการข้อผิดพลาดด้วย Suspense

การจัดการข้อผิดพลาดเป็นสิ่งสำคัญเมื่อใช้ Suspense React มีคอมโพเนนต์ ErrorBoundary เพื่อดักจับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตของ Suspense

ตัวอย่าง:

class ErrorBoundary extends React.Component {
  constructor(props) {
    super(props);
    this.state = { hasError: false };
  }

  static getDerivedStateFromError(error) {
    // อัปเดต state เพื่อให้การเรนเดอร์ครั้งถัดไปแสดง UI สำรอง
    return { hasError: true };
  }

  componentDidCatch(error, errorInfo) {
    // คุณยังสามารถบันทึกข้อผิดพลาดไปยังบริการรายงานข้อผิดพลาดได้
    console.error(error, errorInfo);
  }

  render() {
    if (this.state.hasError) {
      // คุณสามารถเรนเดอร์ UI สำรองที่คุณกำหนดเองได้
      return <h1>Something went wrong.</h1>;
    }

    return this.props.children; 
  }
}

function App() {
  return (
    <ErrorBoundary>
      <Suspense fallback={<div>Loading...</div>}>
        <UserProfile />
      </Suspense>
    </ErrorBoundary>
  );
}

คำอธิบาย:

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ React Suspense

ตัวอย่างการใช้งานจริง

React Suspense สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้แก่:

ตัวอย่างที่ 1: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ

ลองจินตนาการถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ให้บริการลูกค้าในหลายประเทศ รายละเอียดสินค้า เช่น ราคาและคำอธิบาย อาจต้องดึงข้อมูลตามตำแหน่งของผู้ใช้ สามารถใช้ Suspense เพื่อแสดงตัวบ่งชี้การโหลดในขณะที่ดึงข้อมูลสินค้าที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่น

function ProductDetails({ productId, locale }) {
  const productResource = fetchData(`/api/products/${productId}?locale=${locale}`);
  const product = productResource.read();

  return (
    <div>
      <h2>{product.name}</h2>
      <p>Price: {product.price}</p>
      <p>Description: {product.description}</p>
    </div>
  );
}

function App() {
  const userLocale = getUserLocale(); // ฟังก์ชันสำหรับระบุ locale ของผู้ใช้
  return (
    <Suspense fallback={<div>Loading product details...</div>}>
      <ProductDetails productId="123" locale={userLocale} />
    </Suspense>
  );
}

ตัวอย่างที่ 2: ฟีดโซเชียลมีเดียทั่วโลก

พิจารณาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่แสดงฟีดของโพสต์จากผู้ใช้ทั่วโลก แต่ละโพสต์อาจมีข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ซึ่งอาจใช้เวลาในการโหลดแตกต่างกันไป สามารถใช้ Suspense เพื่อแสดง placeholder สำหรับแต่ละโพสต์ในขณะที่เนื้อหากำลังโหลด ซึ่งจะช่วยให้ประสบการณ์การเลื่อนดูราบรื่นขึ้น

function Post({ postId }) {
  const postResource = fetchData(`/api/posts/${postId}`);
  const post = postResource.read();

  return (
    <div>
      <p>{post.text}</p>
      {post.image && <img src={post.image} alt="Post Image" />}
      {post.video && <video src={post.video} controls />}
    </div>
  );
}

function App() {
  const postIds = getPostIds(); // ฟังก์ชันสำหรับดึงรายการ ID ของโพสต์
  return (
    <div>
      {postIds.map(postId => (
        <Suspense key={postId} fallback={<div>Loading post...</div>}>
          <Post postId={postId} />
        </Suspense>
      ))}
    </div>
  );
}

สรุป

React Suspense เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการจัดการการดึงข้อมูลแบบอะซิงโครนัสในแอปพลิเคชัน React ด้วยการทำความเข้าใจกลยุทธ์การดึงข้อมูลต่างๆ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด คุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ตอบสนองได้ดี เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และมีประสิทธิภาพซึ่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม ทดลองใช้กลยุทธ์และไลบรารีต่างๆ เพื่อค้นหาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการเฉพาะของคุณ

ในขณะที่ React ยังคงพัฒนาต่อไป Suspense มีแนวโน้มที่จะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นในการดึงข้อมูลและการเรนเดอร์ การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุดและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์นี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ