ไทย

เรียนรู้วิธีการใช้ React Progressive Enhancement เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่เข้าถึงง่าย มีประสิทธิภาพ และเสถียร แม้ในขณะที่ JavaScript ถูกปิดใช้งานหรือระหว่างการโหลดเริ่มต้น

React Progressive Enhancement: การสร้างคอมโพเนนต์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ JavaScript

ในโลกของการพัฒนาเว็บปัจจุบัน เฟรมเวิร์ก JavaScript อย่าง React ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แม้ว่าเฟรมเวิร์กเหล่านี้จะมีเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการสร้างส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (User Interface) ที่ไดนามิกและโต้ตอบได้ แต่การพึ่งพา JavaScript เพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่ปัญหาด้านการเข้าถึง (Accessibility) ประสิทธิภาพ และ SEO นี่คือจุดที่ Progressive Enhancement (PE) เข้ามามีบทบาท Progressive Enhancement คือกลยุทธ์สำหรับการพัฒนาเว็บที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการทำงานหลักและเนื้อหาของเว็บไซต์ที่พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของเบราว์เซอร์หรือการมีอยู่ของ JavaScript React Progressive Enhancement มุ่งเน้นไปที่การสร้างคอมโพเนนต์ที่ทำงานได้แม้ไม่มี JavaScript เพื่อมอบประสบการณ์พื้นฐานที่จากนั้นจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย JavaScript เพื่อการโต้ตอบที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Progressive Enhancement คืออะไร?

Progressive Enhancement ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เป็นปรัชญาที่สนับสนุนการสร้างเว็บไซต์เป็นชั้นๆ โดยเริ่มจากรากฐานที่มั่นคงของ HTML และ CSS รากฐานนี้ช่วยให้แน่ใจว่าเนื้อหาสามารถเข้าถึงได้โดยทุกคน รวมถึงผู้ใช้ที่มีความพิการ ผู้ที่ใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำ หรือผู้ที่ปิดใช้งาน JavaScript จากนั้นจึงเพิ่ม JavaScript เข้ามาเป็นส่วนเสริมเพื่อมอบประสบการณ์ที่สมบูรณ์และโต้ตอบได้มากขึ้น ลองนึกภาพเหมือนการสร้างบ้าน: คุณเริ่มต้นด้วยโครงสร้างพื้นฐานแล้วจึงเพิ่มฟีเจอร์สวยงามเข้าไป

หลักการสำคัญของ Progressive Enhancement:

ทำไม Progressive Enhancement จึงมีความสำคัญใน React

โดยพื้นฐานแล้ว React เป็นเฟรมเวิร์กที่ใช้ JavaScript เป็นอย่างมาก เมื่อแอปพลิเคชัน React ถูกเรนเดอร์ในเบราว์เซอร์ โดยทั่วไปจะต้องดาวน์โหลด แยกวิเคราะห์ และรัน JavaScript จำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาหลายประการ:

การนำ Progressive Enhancement มาใช้ใน React ช่วยแก้ไขความท้าทายเหล่านี้โดยการมอบประสบการณ์พื้นฐานที่ใช้งานได้แม้ไม่มี JavaScript ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงการเข้าถึงและประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO โดยทำให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย

เทคนิคสำหรับ React Progressive Enhancement

มีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถใช้เพื่อนำ Progressive Enhancement ไปใช้ใน React:

1. การเรนเดอร์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server-Side Rendering - SSR)

Server-Side Rendering (SSR) เป็นเทคนิคที่คอมโพเนนต์ React ถูกเรนเดอร์บนเซิร์ฟเวอร์และส่ง HTML ที่ได้ไปยังไคลเอ็นต์ ซึ่งช่วยให้เบราว์เซอร์สามารถแสดงเนื้อหาได้ทันที แม้กระทั่งก่อนที่ JavaScript จะถูกดาวน์โหลดและรัน SSR มีประโยชน์หลายประการ:

เฟรมเวิร์กอย่าง Next.js และ Remix ทำให้การนำ SSR มาใช้ใน React ค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยมีฟังก์ชันรองรับในตัวสำหรับการเรนเดอร์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ การกำหนดเส้นทาง (Routing) และการดึงข้อมูล (Data Fetching)

ตัวอย่างการใช้ Next.js:

Next.js จะจัดการ SSR โดยอัตโนมัติสำหรับหน้าต่างๆ ในไดเรกทอรี `pages` นี่คือตัวอย่างง่ายๆ:


// pages/index.js
function HomePage() {
  return 

Welcome to my website!

; } export default HomePage;

เมื่อผู้ใช้เข้าชมหน้าแรก Next.js จะเรนเดอร์คอมโพเนนต์ `HomePage` บนเซิร์ฟเวอร์และส่ง HTML ที่ได้ไปยังเบราว์เซอร์

2. การสร้างเว็บไซต์แบบสถิต (Static Site Generation - SSG)

Static Site Generation (SSG) เป็นเทคนิคที่คอมโพเนนต์ React ถูกเรนเดอร์ ณ เวลาสร้าง (Build Time) และไฟล์ HTML ที่ได้จะถูกส่งไปยังไคลเอ็นต์โดยตรง ซึ่งเร็วกว่า SSR เนื่องจาก HTML ถูกสร้างไว้ล่วงหน้าและไม่ต้องการการประมวลผลฝั่งเซิร์ฟเวอร์ในแต่ละคำขอ

เฟรมเวิร์กอย่าง Gatsby และ Next.js ก็รองรับ SSG เช่นกัน ทำให้คุณสามารถสร้างไฟล์ HTML แบบสถิตจากคอมโพเนนต์ React ของคุณ ณ เวลาสร้างได้

ตัวอย่างการใช้ Next.js:

หากต้องการใช้ SSG ใน Next.js คุณสามารถใช้ฟังก์ชัน `getStaticProps` เพื่อดึงข้อมูลและส่งต่อไปยังคอมโพเนนต์ของคุณเป็น props


// pages/blog/[id].js

export async function getStaticProps({ params }) {
  const postId = params.id;
  // ดึงข้อมูลสำหรับโพสต์จาก API หรือฐานข้อมูล
  const post = { id: postId, title: `Post ${postId}`, content: `Content of post ${postId}` };

  return {
    props: {
      post,
    },
  };
}

export async function getStaticPaths() {
  // กำหนดค่าที่เป็นไปได้สำหรับพารามิเตอร์ `id`
  const paths = [
    { params: { id: '1' } },
    { params: { id: '2' } },
    { params: { id: '3' } },
  ];

  return {
    paths,
    fallback: false, // ตั้งค่าเป็น true หากคุณต้องการสร้างหน้าเพจตามความต้องการ
  };
}

function BlogPost({ post }) {
  return (
    

{post.title}

{post.content}

); } export default BlogPost;

Next.js จะสร้างไฟล์ HTML แบบสถิตสำหรับแต่ละโพสต์ ณ เวลาสร้าง

3. การลดระดับอย่างสง่างามด้วย `

แท็ก `


เนื้อหานี้จะแสดงผลหาก JavaScript เปิดใช้งานอยู่

คุณสามารถใช้แท็ก `

4. การเรนเดอร์ตามเงื่อนไข (Conditional Rendering)

การเรนเดอร์ตามเงื่อนไขช่วยให้คุณสามารถเรนเดอร์คอมโพเนนต์หรือเนื้อหาที่แตกต่างกันได้โดยขึ้นอยู่กับว่า JavaScript เปิดใช้งานอยู่หรือไม่ คุณสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อปรับปรุงส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ด้วยฟีเจอร์ JavaScript อย่างก้าวหน้า ในขณะที่ยังคงให้ประสบการณ์พื้นฐานโดยไม่ต้องใช้ JavaScript


import { useState, useEffect } from 'react';

function MyComponent() {
  const [isJavaScriptEnabled, setIsJavaScriptEnabled] = useState(true);

  useEffect(() => {
    // ตรวจสอบว่า JavaScript เปิดใช้งานอยู่หรือไม่ นี่เป็นตัวอย่างแบบง่าย
    // ในสถานการณ์จริง คุณอาจต้องการใช้วิธีที่เชื่อถือได้มากกว่านี้
    setIsJavaScriptEnabled(typeof window !== 'undefined');
  }, []);

  return (
    
{isJavaScriptEnabled ? (

เนื้อหานี้ถูกเรนเดอร์ด้วย JavaScript

) : (

เนื้อหานี้ถูกเรนเดอร์โดยไม่มี JavaScript

)}
); } export default MyComponent;

ตัวอย่างนี้ใช้ hook `useState` และ `useEffect` เพื่อตรวจสอบว่า JavaScript เปิดใช้งานในเบราว์เซอร์หรือไม่ และจะเรนเดอร์เนื้อหาที่แตกต่างกันตามผลลัพธ์นั้น

5. การใช้ HTML เชิงความหมาย (Semantic HTML)

การใช้องค์ประกอบ HTML เชิงความหมายมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อการเข้าถึงและ Progressive Enhancement องค์ประกอบ HTML เชิงความหมายให้ความหมายและโครงสร้างแก่เนื้อหา ทำให้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของเครื่องมือค้นหาเข้าใจได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้องค์ประกอบ `

`, `